ในประวัติศาสตร์ไทย มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่มีไม่กี่พระองค์ที่ฝาก “มรดกทางการเงิน” ไว้ให้แผ่นดินได้อย่างมั่นคงและเป็นระบบเหมือนที่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ทรงกระทำไว้
ก่อนเสด็จสวรรคต พระองค์ทรงฝากพระราชดำริเปรียบเสมือนพินัยกรรม ให้สงวนเงินจำนวน 40,000 ชั่ง และทองคำ 200 ชั่ง ไว้สำหรับใช้ในพระราชกุศลและราชการบ้านเมือง ภารกิจของพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป คือการนำ “ทรัพย์สินก้อนมหาศาลนี้” ไปใช้เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ
แต่คำถามสำคัญคือ “เงิน 40,000 ชั่ง” คือกี่บาทกันแน่? และมีมูลค่าแค่ไหนในยุคปัจจุบัน?
คำตอบไม่เพียงเผยให้เห็นขนาดของพระราชทรัพย์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจของรัชกาลที่ 3 ที่สามารถสะสมความมั่งคั่งไว้เพื่อแผ่นดินอย่างแท้จริง
มูลค่า “40,000 ชั่ง” คิดเป็นเงินไทยเท่าไร?
หน่วย “ชั่ง” เป็นหน่วยชั่งตวงวัดแบบโบราณ โดย
1 ชั่ง = 20 ตำลึง
1 ตำลึง = 4 บาท
ดังนั้น 1 ชั่ง = 80 บาท
เมื่อคิดตามนี้
40,000 ชั่ง = 3,200,000 บาท
ทองคำ 200 ชั่ง = 16,000 บาท
เงินมหาศาลที่ไม่ได้ใช้เพียงส่วนพระองค์
รัชกาลที่ 3 ทรงแบ่งเงินจำนวนนี้เป็น 2 ส่วน คือ:
1. 10,000 ชั่ง (800,000 บาท) ใช้ในการพระราชกุศล เช่น ซ่อมแซมวัดวาอาราม
2. 30,000 ชั่ง (2,400,000 บาท) มอบให้พระมหากษัตริย์องค์ถัดไปใช้ในราชการบ้านเมือง
ส่วนทองคำ 200 ชั่ง ทรงกำหนดให้ใช้ปิดทองวัดก่อน จากนั้นหากเหลือจึงนำไปใช้ในกิจการของแผ่นดิน
ทรัพย์จริงอาจมากกว่าที่ระบุไว้ในพินัยกรรม
ต่อมา รัชกาลที่ 4 (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงชี้แจงว่า ทรัพย์ที่รัชกาลที่ 3 ระบุไว้ในพระราชหัตถเลขานั้นอาจต่ำกว่าความจริง เพราะเมื่อชำระบัญชีแล้วพบว่า:
1. มีเงินถึง 45,000 ชั่ง (เพิ่มขึ้นอีก 5,000 ชั่ง หรือ 400,000 บาท)
2. ทองคำมีถึง 300 ชั่ง (เพิ่มขึ้นอีก 100 ชั่ง หรือ 8,000 บาท)
เท่ากับว่าทรัพย์จริงคือ เงิน 3,600,000 บาท และทองคำ 24,000 บาท
เปรียบเทียบมูลค่าตามยุคสมัย
ในสมัยรัชกาลที่ 2-3 ราคาข้าวเปลือก 1 เกวียน (1 ตัน) อยู่ที่ประมาณ 28-32 บาท เทียบกับปัจจุบันที่เฉลี่ยอยู่ที่ 7,000-8,000 บาท แสดงให้เห็นว่าเงิน 3.2-3.6 ล้านบาทใน พ.ศ. 2394 มีมูลค่าสูงกว่าปัจจุบันหลายร้อยเท่า และถือเป็นทรัพย์มหาศาลของยุคนั้น (มูลค่าในปัจจุบันประมาณ 960-1,440 ล้านบาท หากเทียบกับราคาสินค้าพื้นฐานเช่นข้าวเปลือก)
บทสรุปของ “มรดกพระนั่งเกล้าฯ”
พระราชทรัพย์ก้อนนี้สะท้อนถึงพระปรีชาสามารถด้านเศรษฐกิจของรัชกาลที่ 3 ซึ่งทรงสะสมจากการค้าขาย โดยเฉพาะกับจีน ทั้งในฐานะขุนนางกรมท่าและในภายหลังเมื่อครองราชย์ ทรงไม่เพียงสะสมไว้เป็นทรัพย์ส่วนพระองค์ แต่ยังทรงตั้งใจมอบไว้เพื่อใช้ในงานศาสนาและกิจการแผ่นดิน
นี่คือมรดกที่มิใช่เพียงแค่ตัวเลข หากแต่เป็นเครื่องหมายของความมั่นคงและวิสัยทัศน์ของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงปูทางความเจริญไว้ให้กับรัชกาลต่อไป