ดาราสาว “ต้าเอส” (สวี ซีหยวน) เสียชีวิตจากปอดอักเสบหลังติดไข้หวัดใหญ่ อายุ 48 ปี
ต้าเอส หรือ สวี ซีหยวน นักแสดงหญิงชื่อดังวัย 48 ปี เสียชีวิตในช่วงเทศกาลตรุษจีนเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ที่ลุกลามเป็นปอดอักเสบ ข่าวนี้สร้างความตกใจให้กับแฟน ๆ และวงการบันเทิงอย่างมาก
ภายหลังการเสียชีวิต สื่อต่างประเทศทั้งจีนและไต้หวัน ต่างนำเสนอเรื่องราวของเธอ รวมถึงประเด็นเคล็บลับความงาม “สุดโหด” ของเธอ
ในรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง ต้าเอสเปิดเผยว่าเคยฉีดยาต้านการแข็งตัวของเลือดเพื่อทำให้ผิวขาว เธออธิบายว่า ยาเหล่านี้ทำให้เลือดในร่างกายแข็งตัวช้าลง ส่งผลให้ผิวขาวซีดจากการลดลงของเม็ดสีเลือดแดง (ฮีโมโกลบิน) อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ อันตรายมาก เพราะอาจทำให้เกิดรอยช้ำได้ง่าย และหากได้รับบาดแผล อาจเสี่ยงต่อภาวะเสียเลือดมากจนเป็นอันตรายถึงชีวิต
ไขข้อข้องใจเรื่องการใช้ยาเพื่อผิวขาว
ต้าเอส ได้รับฉายา “เจ้าแม่ความงาม” และเคยเปิดเผยว่าเธอรับประทาน ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulant) เป็นเวลานานเพื่อให้ผิวขาวขึ้น อย่างไรก็ตาม แพทย์อู๋ ซินไต้ ตั้งข้อสังเกตว่าเธออาจเข้าใจผิด และที่จริงแล้วต้าเอสน่าจะใช้ “กรดทรานซามิก” (Tranexamic Acid) ซึ่งเป็นยาห้ามเลือดมากกว่า
กรดทรานซามิก เป็นยาห้ามเลือดที่แพทย์ใช้สำหรับรักษาภาวะเลือดออกผิดปกติ แต่มีผลข้างเคียงในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน จึงถูกนำมาใช้ในการรักษาฝ้าและจุดด่างดำด้วย อย่างไรก็ตาม แพทย์อู๋ ซินไต้ ได้โพสต์วิดีโออธิบายเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ว่า แม้กรดทรานซามิกจะช่วยให้ผิวขาวขึ้น แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน จึงควรใช้อย่างระมัดระวัง
เธอยังเผยว่า เคยพบผู้ป่วยที่เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำลึก (DVT) และภาวะลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด (Pulmonary Embolism) หลังใช้กรดทรานซามิกเพียงหนึ่งสัปดาห์ ดังนั้น หากต้องใช้ ควรเลือกการทาแทนการรับประทาน เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
ผู้เชี่ยวชาญเตือน! คนที่มีประวัติโรคหัวใจ-หลอดเลือด ควรหลีกเลี่ยง
ด้าน แพทย์หญิงหวง ยู่ฮุ่ย รองผู้อำนวยการแผนกศัลยกรรมผิวหนัง โรงพยาบาลฉางเกิง ไทเป ก็เห็นตรงกันว่า ต้าเอสน่าจะใช้กรดทรานซามิกมากกว่ายาต้านการแข็งตัวของเลือด เธอเสริมว่า แม้กรดทรานซามิกจะช่วยลดฝ้าและป้องกันการเกิดจุดด่างดำ แต่ หากมีประวัติกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง หรือมีคนในครอบครัวเคยเป็นโรคเกี่ยวกับลิ่มเลือด ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมนี้ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหัวใจและหลอดเลือด