ชาวจีนอวย “ผักสวรรค์” สมุนไพรชั้นเทพ ไทยปลูกขึ้นง่ายทุกที่ แต่หลายคนร้องอี๋ ไม่ยอมกิน!

ผักคาวทองหรือผักพลูคาว “ผักมหัศจรรย์” ที่จีนยกย่อง โตทั่วไปในไทยแต่หลายคนยังไม่กล้าทาน

ผักคาวทอง หรือผักพลูคาว เป็นผักพื้นบ้านที่พบได้ทั่วไปในหลายภูมิภาคของไทย แม้หลายคนจะไม่กล้าทานเพราะมีกลิ่นเฉพาะตัว แต่ในจีน สมุนไพรชนิดนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ผักเทพ” เนื่องจากใช้ได้ทั้งเป็นอาหารและเป็นยาตามตำรับแพทย์แผนโบราณ มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ ระบายความร้อน และเสริมภูมิคุ้มกัน

คุณค่าทางสมุนไพรของผักคาวทอง

  1. ทั้งต้นมีน้ำมันหอมระเหยตามธรรมชาติ อุดมด้วยสารสำคัญอย่าง quercetin และ isoquercitrin ที่ช่วยต้านอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และเสริมความแข็งแรงของหลอดเลือด
  2. การศึกษาบางส่วนระบุว่าสารสกัดจากผักคาวทองอาจช่วยยับยั้งเชื้อไวรัสบางชนิดภายใต้เงื่อนไขในห้องปฏิบัติการ
  3. ในตำรับแพทย์แผนจีน จัดเป็นสมุนไพร “เย็น–ถอนพิษ” ใช้ลดความร้อน ขับปัสสาวะ และบรรเทาอาการบวมอักเสบ
  4. ในไทย นิยมนำไปช่วยบรรเทาอาการร้อนใน ผดผื่น และมักใช้เป็นผักเคียงกับอาหารพื้นบ้านหลากหลายชนิด

วิธีใช้ผักคาวทองให้เกิดประโยชน์

  1. กินสด เป็นผักเคียงในมื้ออาหาร เพื่อช่วยเสริมการย่อย
  2. คั้นเป็นน้ำหรือทำน้ำดื่ม ควรดื่มหลังอาหารเพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะ
  3. ใช้ภายนอก เช่น ตำพอกแผล หรือใช้น้ำต้มใบล้างบริเวณผิวหนังที่อักเสบ

ข้อควรระวังเมื่อทานผักคาวทอง

  1. ควรล้างให้สะอาดและแช่น้ำเกลือก่อนรับประทาน
  2. ไม่ควรดื่มน้ำคั้นผักคาวทองตอนท้องว่าง เพราะอาจระคายเคืองกระเพาะ
  3. หลีกเลี่ยงการทานในปริมาณมาก ผู้ใหญ่ควรรับประทานผักสดประมาณ 20–40 กรัมต่อวัน หรือผักแห้ง 10–12 กรัมต่อวัน
  4. หากต้องการใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วย ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้เป็นประจำ

ใครควรระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยง

  1. สตรีมีครรภ์ โดยเฉพาะช่วงตั้งครรภ์ระยะแรก ควรหลีกเลี่ยง
  2. ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำหรือใช้ยาลดความดัน ควรทานในปริมาณน้อย
  3. ผู้ที่มีอาการท้องเสียหรือระบบขับถ่ายอ่อนแอ เพราะผักมีฤทธิ์เย็น

ผักคาวทองแม้มีกลิ่นเฉพาะตัว แต่เป็นผักพื้นบ้านที่มีประโยชน์ด้านสมุนไพรสูง ช่วยต้านอักเสบและลดความร้อนในร่างกายได้ อย่างไรก็ตาม ควรบริโภคอย่างพอเหมาะ และไม่ควรใช้แทนการรักษาโดยแพทย์ หากต้องการใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญก่อนทุกครั้ง