คำเตือน “อะโวคาโด” ซูเปอร์ฟู้ดที่อาจไม่เป็นมิตรกับทุกคน อันตรายที่ต้องรู้ก่อนกิน

คำเตือน “อะโวคาโด” ซูเปอร์ฟู้ดยอดฮิต แต่อาจไม่เป็นมิตรกับทุกคน อันตรายที่ต้องรู้ก่อนกิน กินแค่ไหนถึงปลอดภัย ใครควรเลี่ยง?

อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารและไขมันดี แต่หลายคนยังสงสัยว่าควรกินวันละเท่าไหร่ และกินทุกวันได้ไหม บทความนี้จะสรุปคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและงานวิจัยล่าสุดให้เข้าใจง่าย

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

โดยทั่วไป การบริโภคอะโวคาโดวันละ ครึ่งผล ถึง 1 ผลขนาดกลาง (ประมาณ 150 กรัม) ถือเป็นปริมาณที่ปลอดภัยสำหรับผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่สามารถกินทุกวันได้โดยไม่เกิดผลเสียต่อสุขภาพ

ประโยชน์ของการกินอะโวคาโดทุกวัน

  • สุขภาพหัวใจ: อะโวคาโดช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิด LDL และเพิ่ม HDL ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
  • ระบบย่อยอาหาร: มีใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบย่อยทำงานดีขึ้นและสุขภาพลำไส้แข็งแรง
  • ควบคุมน้ำหนัก: แม้มีแคลอรีสูง แต่การกินวันละ 1 ผลไม่ได้ทำให้น้ำหนักเพิ่ม และอาจช่วยลดไขมันหน้าท้อง
  • เพิ่มคุณค่าทางอาหาร: อุดมด้วยโฟเลต โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม
  • ต้านการอักเสบ: อะโวคาโดมีวิตามินอี ซี แคโรทีนอยด์ และไฟโตสเตอรอล ที่มีคุณสมบัติช่วยต้านการอักเสบในร่างกายและปกป้องเซลล์จากความเสียหาย
  • ให้วิตามินและแร่ธาตุที่หลากหลาย: เป็นแหล่งของวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โฟเลต (สำคัญต่อพัฒนาการสมอง) วิตามินซี (เสริมภูมิคุ้มกัน) วิตามินอี (ต้านอนุมูลอิสระ) และโพแทสเซียม
  • บำรุงสุขภาพผิวและเส้นผม: ไขมันดีในอะโวคาโดช่วยเพิ่มความนุ่มชุ่มชื้นให้กับผิวและเส้นผม
  • บำรุงสายตา: มีวิตามินเอที่ช่วยในการบำรุงสายตาให้สุขภาพดี

ข้อควรระวังในการกินอะโวคาโด

  • อะโวคาโดดิบมีสารแทนนิน สารแทนนินเป็นสารที่พบได้ในพืชบางชนิด เช่น ชา กาแฟ ถั่ว และอะโวคาโด สารแทนนินมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ แต่หากรับประทานอะโวคาโดดิบหรือยังไม่สุกเต็มที่ อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และท้องผูกได้

  • แคลอรีสูง อะโวคาโดขนาดกลาง 1 ผล มีแคลอรีประมาณ 240 แคลอรี การกินเกินปริมาณอาจทำให้ร่างกายได้รับแคลอรีเกินความต้องการ ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่ม และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคอ้วน และโรคหัวใจ
  • เพิ่มน้ำหนัก แม้อะโวคาโดเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่การกินเกินความต้องการของร่างกายอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มได้ ควรติดตามปริมาณการบริโภคร่วมกับอาหารอื่น ๆ เพื่อควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม
  • ภูมิแพ้ อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีสารก่อภูมิแพ้บางชนิด ดังนั้นผู้ที่แพ้อาหารทะเลหรือถั่ว อาจแพ้อะโวคาโดได้เช่นกัน ผู้ที่แพ้อะโวคาโดอาจมีอาการคัน ผื่นลมพิษ บวมที่ริมฝีปาก ลิ้น หรือคอ หายใจลำบาก ปวดท้อง หรืออาเจียน และผู้แพ้ยางพาราอาจเกิดอาการแพ้ข้ามไปยังอะโวคาโดได้
  • โพแทสเซียมสูง อะโวคาโด 100 กรัม ให้โพแทสเซียม 485 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่าปริมาณโพแทสเซียมที่ควรได้รับในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ที่แข็งแรง 4,700 มิลลิกรัม ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไตควรจำกัดการรับประทานอะโวคาโด หลีกเลี่ยงการกินร่วมกับผลไม้หรือผักที่มีโพแทสเซียมสูงอื่น ๆ

  • ไมเกรน อะโวคาโดมีสารไทรามีนที่อาจกระตุ้นไมเกรนในบางคน แม้ว่าหลักฐานยังไม่ชัดเจน หากคุณมีประวัติไมเกรนควรสังเกตอาการหลังการบริโภคและปรึกษาแพทย์
  • ปัญหาทางเดินอาหาร การกินอะโวคาโดมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด แก๊ส หรือไม่สบายท้อง เนื่องจากใยอาหารสูง ควรเพิ่มปริมาณใยอาหารอย่างค่อยเป็นค่อยไป และผู้ที่มีลำไส้ระคายเคืองควรปรึกษาแพทย์

ไม่ควรกินอะโวคาโดกับอะไรบ้าง

  • ผลไม้ที่มีแป้งสูง : การกินทานอะโวคาโดพร้อมผลไม้หวาน เช่น กล้วย มะละกอ อินทผลัม หรือองุ่น อาจทำให้ย่อยยาก เกิดท้องอืดหรือแน่นท้อง
  • ถั่วและเมล็ดพืชบางชนิด : ถั่วเหลือง ถั่วแดง หรือเมล็ดเจีย มี FODMAPs สูง การทานร่วมกับอะโวคาโดอาจทำให้ท้องอืดและแก๊สในลำไส้
  • ผลไม้หรือผักที่มีโพแทสเซียมสูง : เนื่องจากอะโวคาโดเป็นแหล่งโพแทสเซียมสูง จึงควรหลีกเลี่ยงการกินอะโวคาโดร่วมกับผลไม้หรือผักที่มีโพแทสเซียมสูงอื่นๆ เช่น  ทุเรียน, กล้วย, มะม่วง, แก้วมังกร, แคนตาลูป, มันเทศ, มันฝรั่ง, ผักโขม และมะเขือเทศ โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคไตที่มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจได้  โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคไตที่มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจได้
  • อาหารไขมันสูง : การกินอะโวคาโดพร้อมอาหารทอด ฟาสต์ฟู้ด หรือเนื้อสัตว์ติดมัน อาจทำให้ไขมันรวมสูงเกินไป เพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วน โรคหัวใจ และย่อยยาก
  • ยาบางชนิด : ผู้ใช้ยาละลายลิ่มเลือด เช่น วาร์ฟาริน ควรระวัง เพราะอะโวคาโดมีวิตามินเคสูง อาจลดประสิทธิภาพของยา