กระทรวงการคลังร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการกระจายกำลังทั่วประเทศเพื่อตรวจสอบพฤติกรรมทุจริตในโครงการ พร้อมทั้งมีระบบการวิเคราะห์ข้อมูลที่ตั้งค่ารูปแบบการใช้จ่าย เพื่อสามารถตรวจพบความผิดปกติได้ เช่น กรณีร้านค้าที่ร่วมโครงการมีการขายสินค้าในพื้นที่หนึ่ง แล้วภายในเวลาไม่นานกลับปรากฏการขายสินค้าในพื้นที่อื่นที่อยู่ห่างออกไป ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมผิดปกติและจะถูกตรวจสอบเพิ่มเติม
นายวินิจกล่าวว่า เราจะกระจายกำลังทั่วประเทศเพื่อตรวจสอบ โดยในฝั่งธนาคารกรุงไทยกับผู้เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูลโดยใช้ data analysis หากพบการทุจริตจะระงับการซื้อขายทันที เพื่อให้มั่นใจว่า การใช้จ่ายในโครงการครั้งนี้ เป็นไปอย่างตรงเป้า ตรงกลุ่มตามที่ต้องการ ถ้ามีคนทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราจะดำเนินการอย่างจริงจัง และจำเป็นต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ถ้ามีข้อผิดพลาด เราก็ยินดีให้เข้ามาชี้แจง ที่ห่วงหนัก คือ เริ่มมีร้านค้าบอกว่า ได้รับโทรศัพท์(มิจฉาชีพ)มาคุย ไม่ต้องกังวลให้ตัดสายไปเลย เราจะมีระบบการติดต่อถึงตัว
สำหรับบรรยากาศการใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่งพลัสวันนี้ พบว่ายังคงมีความคึกคัก โดยช่วงเวลา 10.00 น. มียอดการใช้จ่ายสะสมกว่า 2.2 พันล้านบาท จากผู้ใช้สิทธิ์กว่า 8.7 ล้านราย และมีร้านค้าที่เกิดการใช้จ่ายกว่า 5.4 แสนราย

ขณะนี้มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการกว่า 6.9 แสนราย ในจำนวนนี้กว่า 3.4 แสนรายเป็นร้านค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ส่วนที่เหลือเป็นร้านค้าสินค้าโอทอปและร้านธงฟ้า โดยร้านค้าส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกราว 20% ที่เหลือกระจายอยู่ในภาคอื่น ๆ ราว 14-15% และภาคตะวันตกมีสัดส่วนน้อยที่สุด ส่วนประเภทสินค้าที่มีการใช้จ่ายมากที่สุดคืออาหารและเครื่องดื่ม คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 52%
